928 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อเราเริ่มต้นวางแผนการเงิน แผนการเงินแผนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากก็คือ "แผนเกษียณอายุ" เพราะทุกคนไม่ว่าใครก็จะต้องมีช่วงเวลาที่หยุดทำงาน และรายได้จากการทำงานของเราก็จะหยุดลง แต่ว่ารายจ่ายของเรายังคงดำเนินต่อไปแม้จะไม่มีรายได้ก็ตาม นั่นแปลว่า เราจะต้องเตรียมเงินสำหรับการเกษียณอายุเผื่อวันนั้นจะมาถึงนั่นเอง
หากเราลองถามต่อว่า ถ้าอยากวางแผนเกษียณอายุ เราควรจะใช้สินค้าการเงินตัวไหนสำหรับการวางแผนเกษียณอายุดีล่ะ ? คำตอบนั้นง่ายมากๆ เพราะคำตอบนั้น คือ RMF หรือ Retirement Mutual Fund แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นกองทุนสำหรับการเกษียณอายุ โดยมีเหตุผลดังนี้
1.RMF ได้สิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร
เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า สินค้าการเงินที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร นอกจาก ประกันชีวิต กับ LTF ก็มี RMF ที่เรามักจะมองข้ามไปเสมอ การที่เราลงทุนแล้วได้สิทธิลดหย่อนภาษีก็เหมือนกับเราได้ผลตอบแทนทันทีที่เราซื้อเลยด้วยซ้ำไป สมมติว่าปัจจุบันเราเสียภาษีอยู่ที่ฐาน 20% แปลว่าถ้าเราซื้อ RMF จำนวน 50,000 บาท เราจะสามารถนำ 50,000 บาทนี้ไปลดหย่อนภาษีได้ก็จะช่วยทำให้เราประหยัดรายจ่ายเรื่องภาษีไปได้ถึง 10,000 บาทเลยทีเดียว
แต่ก็มีข้อควรระวังว่า ห้ามทำผิดเงื่อนไขเด็ดขาดสำหรับคนที่อยากใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ซึ่งเงื่อนไขในการใช้ RMF ลดหย่อนภาษี ประกอบด้วย
2.RMF ช่วยสร้างวินัยการออมและช่วยเพิ่มโอกาสให้ถึงเป้าเกษียณได้เป็นอย่างดี
ด้วยเงื่อนไขการนำ RMF ไปลดหย่อนภาษี เราจะเห็นได้ว่าเหมาะกับการช่วยให้เราเกษียณได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราต้องซื้อทุกปี ถือว่าเป็นการเติมเงินเข้ากองทุนเกษียณอย่างต่อเนื่องหรือที่เราเรียกว่าการลงทุนแบบ DCA เลยก็ไม่ผิด เป็นตัวช่วยสร้างวินัยในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
แล้วนอกจากที่เราต้องเติมเงินเรื่อยๆ แล้ว เรายังขายได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นอายุเกษียณหรือว่าใกล้เกษียณพอดี ก็มั่นใจได้ว่าเราจะไม่ถอนออกมาใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ก่อนวัยอันสมควร
3.RMF ลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายมากกว่า
ถ้าเราเปรียบเทียบกับสินค้าการเงินที่ใช้ลดหย่อนภาษีอื่นๆ RMF ถือว่ามีความหลากหลายที่เราสามารถเลือกได้ตามระดับความเสี่ยงหรือตามความถนัดของเราเลย แต่ถ้าเป็น LTF จะลงได้เฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น หรือถ้าเป็นประกันชีวิตก็จะเป็นเพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ซึ่งประกันชีวิตแบบออมทรัพย์จะมีผลตอบแทนจากการซื้อประกันชีวิตอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง RMF สามารถเลือกลงทุนได้ตั้งแต่ตลาดเงิน พันธบัตร หรือจะขยับมาเป็นตราสารหนี้ในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้
แต่ถ้าใครชอบความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นก็มีให้เลือกซื้อ หรือแม้แต่การลงทุนเฉพาะทางอย่างอสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ น้ำมันก็มี RMF ให้เราเลือกซื้อเช่นกัน แล้วการที่ RMF ลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ก็ยิ่งช่วยทำให้เราจัดพอร์ตการลงทุนได้ง่าย กระจายความเสี่ยงได้ดีมากขึ้น มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
แต่ทีนี้ถ้าเรามองเรื่องการบังคับตัวเองให้มีวินัยในการลงทุนในระยะยาว “ประกันชีวิต” ก็ดูเหมือนจะสามารถทำได้เหมือนกัน แต่ถ้ามองในมุมของผลตอบแทนที่คาดหวังแล้ว RMF ก็ยังดูมีแนวโน้มที่สดใสกว่า เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่เป็นที่นิยมกันอย่างมากนั้นจะมีผลตอบแทนอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 2% เท่านั้น
แต่ RMF เราสามารถเลือกได้ว่าเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหนจากสินทรัพย์ที่ RMF สามารถลงทุนได้กว้างกว่าประกันชีวิตมากๆ เลยทำให้ผลตอบแทนคาดหวังของ RMF สูงกว่าประกันชีวิตอยู่พอสมควรเลย
เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากเลือก RMF ที่มีการลงทุนในกองทุนผสมที่ผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 4-6% ต่อปี ถ้าตลาดหุ้นไปได้ดีก็คาดหวัง 6% ได้แต่ถ้าตลาดไม่ได้ขึ้นสักเท่าไหร่ก็จะอยู่ที่แถวๆ 4 % นั่นหมายความว่าถ้าเราลงทุนปีละ 10,000 บาท คำนวณอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ตลอดระยะเวลา 20 ปี จะมีเงินใช้ตอนเกษียณที่แตกต่างกันเลย
จากตารางจะได้เห็นได้ว่าลงเงินลงทุนเท่ากัน ระยะเวลาเท่ากัน แค่เราวางเงินให้ถูกที่ก็จะช่วยทำให้เรามีเงินที่มากขึ้นได้ ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ RMF ก็เลยเป็นกองทุนประเภทแรกๆ ที่เราควรมีในพอร์ตเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเรามองเรื่องความจำเป็นของแผนการเงินแล้ว แผนเกษียณยังไงก็เป็นแผนที่อันดับต้นๆ รองจากแผนบริหารสภาพคล่องและแผนการบริหารความเสี่ยงที่เราควรจะมี แต่หลายๆ คนกลับมองข้าม RMF ไป เพราะว่าเงื่อนไขที่เราต้องทิ้งเงินไว้นานๆ กว่าจะขายได้อายุก็ปาเข้าไป 55 ปี ถ้ายิ่งเป็นเด็กจบใหม่แล้วยิ่งไม่สนใจ RMF เพราะมองว่าทิ้งเงินไว้นานเกินไป
แต่รู้หรือไม่ว่า ยิ่งเราทิ้งเงินไว้ได้นาน ยิ่งลงทุนระยะยาวได้มากเท่าไหร่ก็ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและความเสี่ยงน้อยลงด้วย เพราะการลงทุนนานๆ จะช่วยทำให้เราใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
อ้างอิง : www.krungsri.com